คำตอบ ก็คือ "ตรง" ต่อ "สภาพธรรม"
ที่ "ปรากฏ" เท่านั้น นั่นเอง.
"สติ" ทำหน้าที่ระลึก "ตรง"
ความเป็น "ผู้ตรง" ต่อ "สภาพธรรม"
ที่ "ปรากฏ" เท่านั้น
ที่จะทำให้ "ปัญญา" (ญาณ) เจริญขึ้น
จนสามารถที่จะรู้ "สภาพธรรม"
ตามความเป็นจริงได้
และ ความเป็นจริง ก็คือ "กุศลจิต"
และ "อกุศลจิต" ก็ "เกิด ดับ
เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ..."
สลับกันรวดเร็วมากทีเดียว
ถ้าในขณะที่คิดว่า.. เพื่อประโยชน์
ขณะนั้น เป็น "กุศล"
แต่.. ขณะที่มี "ความขุ่นเคืองใจ"
ขณะที่กำลังขุ่นเคืองใจนั้น เป็น "อกุศล"
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความเกิดดับ
อย่างรวดเร็วของ "จิต" ซึ่งทุกท่านควรเป็น "ผู้ตรง"
ด้วยเหตุนี้
ทำไมเป็นพระโสดาบันแล้วยังมี "ปิสุณาวาจา"
หรือว่า... สัมผัปปลาปวาจา ใช่ไหม ?
ก็ "พระโสดาบัน" ยังมี "โลภะ"
ที่จะสนุกสนานรื่นเริง
พูดเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องของธรรม
เรื่องใดซึ่งไม่เป็นประโยชน์
เรื่องนั้นเป็น "สัมผัปปลาปวาจา"
เมื่อพระโสดาบันบุคคลก็ยังมี "โลภะ"
เพราะฉะนั้น "สัมผัปปลาปวาจา" ก็ยังต้องมี
ซึ่งในชีวิตที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนทั้งหลาย
ทุกคนมีการสะสมมาต่างๆกัน ไม่เหมือนกันเลย
พระโสดาบันท่านก็อยู่ท่ามกลางบุคคล
ที่มีอัธยาศัยต่างๆกัน ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกัน
ท่านจะไม่พูดกับคนนั้น
ท่านจะไม่คบหาสมาคมกับบุคคลนี้
ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
(ถ้ามีการรู้จักเกี่ยวข้องกัน)
ถ้ามีเรื่องอะไรที่จะเกิดขึ้น
ที่จะทำให้ "โลภมูลจิต" เกิด
แม้ "พระโสดาบัน" โลภมูลจิตของท่านก็เกิด
มีเรื่องอะไรที่ "โทสมูลจิต" จะเกิด
แม้ "พระโสดาบัน" โทสมูลจิตของท่านก็เกิด
สติสัมปชัญญะต้องระลึก "รู้" ตามความเป็นจริง
ว่า... "กุศล" เป็น "กุศล"
"อกุศล" ก็เป็น "อกุศล"
เพราะฉะนั้น "สติสัมปชัญญะ" ก็ไวพอ
ที่จะระลึก "รู้" ลักษณะของ "จิต"
ซึ่งเกิดดับสลับอย่างเร็วมาก
และ เป็น "ผู้ตรง" ที่จะรู้ว่า...
ขณะใด เป็น "กุศล"
ขณะใด เป็น "อกุศล"
การกระทำทุกอย่างมองดูแล้ว
ชาวโลกคิดอย่างหนึ่ง
แต่... "สภาพธรรม" จริงๆ
ก็ต้องอาศัย "สติสัมปชัญญะ"
ของบุคคลนั้นเอง จึงจะรู้ได้
อย่างทาน (การให้) ทุกคนก็รู้ว่า...
ให้สิ่งซึ่งบุคคลอื่นพอใจที่จะรับ
ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ
เป็น "กุศล" ใช่ไหม ?
โดยทั่วไป เป็นทุกกรณีหรือเปล่า ?
แต่ชาวโลกถือเป็นทาน ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเป็นผู้ตรง
ท่านพระอานนท์ ท่านพระสารีบุตร
หรือแม้แต่ 'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ก็ยังตรัสปราศรัยกับผู้ที่ไปเฝ้า
ถึงทุกข์ สุข ฯลฯ
เป็น "สัมผัปปลาปวาจา" ไหม ?
ก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ "จิต"
ในขณะนั้น ไม่ใช่การที่จะไต่ถามถึงทุกข์สุข
ก็จะต้องเป็นสัมผัปปลาปวาจา
สิ่งใดที่เป็นประโยชน์
คำพูดที่เป็นประโยชน์
ย่อมไม่ใช่สัมผัปปลาปวาจา.
ตลอดวัน ตลอดคืน
********************************
'พระพุทธเจ้า' ตรัสว่า...
ดูกรกัจจานะ "ธาตุ" คือ "อวิชชา" นี้
เป็นธาตุใหญ่แล
ดูกรกัจจานะ
สัญญาที่เลว ทิฏฐิที่เลว
วิตกที่เลว เจตนาที่เลว ความปรารถนาที่เลว
ความตั้งใจที่เลว บุคคลที่เลว วาจาที่เลว
บังเกิดขึ้น เพราะอาศัยธาตุที่เลว
บุคคลที่เลวนั้น ย่อมบอก ย่อมแสดง
ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย
ย่อมจำแนก ย่อมทำให้ตื้น ซึ่งธรรมที่เลว
เรา 'ตถาคต' กล่าวว่า...
อุปบัติของบุคคลที่เลวนั้น ย่อมเลว.
**********************************************
ไม่มีการฟัง (อ่าน, ศึกษา) พระธรรม
คำสอนของ 'พระพุทธเจ้า'
จะสามารถรู้แจ้ง "สภาพธรรม"
ตามความเป็นจริง ได้ไหม ?
จะไม่สามารถรู้แจ้ง "สภาพธรรม"
ประจำวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๘"